
พี่มด ปีณิฎา สุนทรรัตน์ ศิลปินสาวตาโตคม และหน้าหวาน แห่ง Moka World

พี่มด ปีณิฎา สุนทรรัตน์ ศิลปินสาวตาโตคม และหน้าหวาน แห่ง Moka World
วันนี้ทีมงาน ตลาดทัวร์แมกกาซีน (TM) มีโอกาสพบกับศิลปินผู้วาดคาแรคเตอร์ Modaka ที่มีชื่อเสียง และมีแฟนคลับที่เมืองนอกมากมาย เราจึงไม่พลาดที่จะขอสัมภาษณ์ ความตั้งใจ และเส้นทางการเดินทางสายศิลปินของสาวหน้าหวานคนนี้.. คุณมด ปีณิฎา สุนทรรัตน์...
TM: ตั้งแต่เมื่อไหร่คะที่พี่มดค้นพบว่าเราเป็นคนที่รักในงานศิลปะ
พี่มด: ตอนเริ่มเลย ยังทำงานควบสองอย่าง คืองานออกแบบโปรดักส์ และวาดภาพ พี่มดจบ มศว.คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกศิลปศึกษา จริงๆ เป็นการเรียนศิลปะทุกแขนง เพื่อที่จะเป็นครูไปสอน เช่นภาพพิมพ์ เพ้นท์ คอมพิวเตอร์กราฟฟิก คือเราจะเป็นทุกอย่าง แต่ไม่ลึก..เป็นเป็ด ที่นี้ในตอนแรกก่อนที่จะตัดสินใจเดินวิถีศิลปินเนี้ยะ วิถีศิลปินคือ ต้องอดทน เป็นคนที่ทำงานศิลปะเพื่อตัวของเรา และนำเสนอให้กับสังคมให้สื่อสารกับสังคมได้ แต่งานพวกนี้ จะไม่ใช่พาณิชย์ศิลป์ ไม่ใช่งานโปรดักส์ เพราะนั่นเป็นการค้านำ ... วิถีนี้..ต้องใช้เวลา และประสบการณ์ของเรา คือเราต้องยอมแลกด้วยความอดทน คนที่เลือกวิถีนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มุ่งมั่น ดื้อ และรู้ใจตัวเองว่าต้องการอะไร เพราะช่วงแรกๆ ไม่มีใครสบายซักคน ลำบากทุกคน เพราะมันต้องอดทน สั่งสม จนกระทั่งถึงจุดนึงที่อิ่มตัวมากพอ เราถึงจะได้เก็บดอกออกผลกิน ทุกคนล้วนรู้ว่าไม่ง่าย แต่พร้อมที่จะเสี่ยง อย่างน้อยสิ่งนึงที่ได้เสมอ คือว่า เราได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก สิ่งที่ตัวเองรักทำให้เราสามารถอดได้ นี่คือ Key ที่พี่มดเลือกเดินทางสายนี้
แต่ในช่วงแรก ก็ยังมีความสับสนของตัวเองว่าตกลงว่าเราจะเลือกในเชิงพาณิชย์ศิลป์ หรือเราจะไปในสายนี้ดี จนกระทั่งเราทำงานผ่านไปได้ซัก 5 ปี ในปี 2001 ตัดสินใจว่าเราจะมาวิถีนี้ เลยสร้างแกลอรี่เล็กๆ ขึ้นมาที่นึง โดยที่หน้าที่ของศิลปิน คือเราถ่ายทอดเหตุการณ์ปัจจุบัน หรือแนวคิด หรือปรัชญาบางอย่างทางงานศิลปะของเรา แล้วคนที่มาเห็นภาพเรา สามารถรับแมสเสจข้อมูลนั้นได้จากเรา ตอนแรกไม่เคยมีความเชื่อว่า ภาพของเราสื่อสารกับคนอื่นได้โดยที่เราไม่ต้องพูดอะไรเลย จนกระทั่งตอนที่ไปเปิดแกลอรี่เล็กๆ เราก็แขวนงานของเรา ทั้งที่เป็นงานที่ชั้นพอใจ ใครจะซื้อก็ได้ ไม่ซื้อก็ได้ มันเป็นงานแค่เราอยากจะโชว์ในสิ่งที่เราเป็น ปรากฏว่า..สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนมาเจองานเรา แล้วขอซื้อ รักและเข้าใจในความหมายที่เราส่งออกไป แล้วบางคนตีความได้ดีมากกว่านั้นอีก และไปเกิดแรงผลักดันให้เค้าอีก อันนี้เป็นสิ่งที่ได้เหนือความคาดหมาย ไม่คิดว่างานของตัวเองจะไปให้แรงบันดาลใจใคร หรือว่าไป support ความรู้สึกใครได้ แต่สิ่งนั้นเกิดขึ้น มันก็เป็นแรงผลักต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้น พอเราได้สิ่งนี้จากผู้คนที่ส่งกลับคืนมาให้เรา นั่นคือจุดตัดสินใจให้เราก้าวต่อ อย่าหยุด..
แกลอรี่เล็กๆ นี้เปิดปี 2001-2007 ประมาณ 6 ปี และขายงาน Souvenir พวกเอางานศิลปะไปใส่ลงบนเสื้อ กระเป๋า
TM: แล้วจุดของการตัดสินใจเปิดร้าน MOKA
พี่มด: คือ..แกลอรี่ เป็นการส่งออกทางเดียว พอเปิด Café & Gallery มันเป็นการ communicate มันเป็นการสื่อสารสองทาง คือนอกจากการที่เราจะส่งออกไปอย่างเดียวแล้วอะ เรายังได้รับกลับมาด้วย เป็น commu ที่มีการสนทนา มีการส่งต่อ ซึ่งมันพิเศษมาก อย่างที่ตอนแรกเราไม่ได้คิด เพราะว่าคนส่วนใหญ่เวลาทำงานศิลปะเราค่อนข้างที่จะอยู่กับตัวเอง แล้วก็ไม่ได้คิดว่า เราต้องไปปฏิสัมพันธ์กะใคร แล้วคิดว่า ชั้นทำไม่ได้หรอก เพราะชั้นอยู่กะตัวชั้น ชั้นก็จะแย่แล้ว แต่กลายเป็นว่า การที่เราทำ café ไปด้วย ทำ gallery ไปด้วย เฮ้ย มันดีเกินคาด มันเป็นผลที่เหนือความคาดหมาย
TM: แล้วการตั้งเป้าหมายสู่การจัดงาน Exhibition อย่างเป็นทางการ เริ่มอย่างไรคะ
พี่มด: มันเป็นธรรมเนียมของคนที่ทำงานศิลปะ เมื่อถึงเวลาถึงจุดนึง พอเราสั่งสมวิชาของเราพอแล้ว เราก็ต้องประกาศให้โลกรู้ว่า ว่าชั้นมีตัวตน นี่สไตล์ของชั้นเป็นแบบนี้ เพื่อให้คนได้ดื่มด่ำ มีความสุขไปกับงานศิลปะของเรา ..exhibition คราวหน้า น่าจะมีในปี 2017 หรือ 2018 คือหลังจากที่เราได้คอนเซปที่ชัดเจน แล้วก็เริ่มทำงานไป แล้วก็ถึงเวลาที่เราต้องประกาศ หรือแชร์ความรู้สึกดีๆ ให้กับสาธารณะมากขึ้น
TM: จากปี 2001 ที่เปิดแกลอรี่เล็กๆ แล้วมาเปิด Moka จนมาจัดงาน exhibition ปี 2015 พี่มดคิดว่า มันถึงจุดหมายที่ตั้งไว้แล้วหรือยังคะ
พี่มด: มันอยู่ในระหว่างการเดินทางมากกว่า เพราะคิดว่าในวิถีของศิลปิน จริงๆ แล้วเราจะวาดรูปไปจนถึงวันสุดท้ายของเรา เพราะฉะนั้นมันไม่มีวันที่จะจบหรอก เพียงแต่หน้าที่ของเราเมื่อเราเลือกแล้ว คือแปลข้อมูลให้เป็นงานสร้างสรรค์ ให้คนอื่นรับรู้ได้ แล้วแต่ว่า เราอยากให้เค้ารับรู้ได้ในแบบไหนมากกว่า แต่แนวทางของพี่ พี่อยากให้เป็นการเสริมแรง การเพิ่มกำลังใจ เป็นการทำให้เค้ารู้สึกว่า แรงที่หมดมา หรือหลังจากอุปสรรคปัญหาต่างๆ พอมาเจอแล้วปุ๊บ มันเกิดไฟดวงนึงขึ้นมา แล้วทำให้เค้าก้าวต่อไปได้ โดยมากรับได้จากคนที่มาชมงานจะเป็นแมสเสจนี้เลย ซึ่งมหัศจรรย์
TM: มีประเด็นที่น่าสนใจคือ ศิลปินก็ต้องใช้ชีวิต ซึ่งก็ต้องมีรายได้จากการขายภาพ แต่บางศิลปินก็ไม่ง่ายนัก เวลาที่จะต้องคุยกับลูกค้าในเรื่องประเด็นนี้
พี่มด: จริงๆ แล้วการขายรูปคือ ถ้าใครจะรักเรามาก แล้วเอาเราไปอยู่ด้วย เราก็จะช่างมีความสุขอะไรอย่างนี้ เพราะว่าคนดูเป็นคนเลือกรูป และรูปก็เป็นคนเลือกคนดู เค้าจะเลือกบ้านด้วยตัวเค้าเอง เพราะจริงแล้ว ต่อให้เราไปยืนขาย เราไปพูดไปยัดเยียดยังไง แต่ถ้าคนซื้อเค้าไม่คลิ๊ก มันยากมากเลย หรือบางครั้งจะรู้สึกเหมือนเราส่งภาพไปผิดบ้าน แต่ว่าเมื่อคนที่เค้าเป็นเจ้าของ แบบภาพนี้รอคนๆ นี้มาสองปี แต่เมื่อวันที่บ้านที่ถูกต้องมาเจอเค้าแล้วรับเค้าไป แล้วเอาเค้าไปแขวนในที่ที่อบอุ่นที่สุดในบ้าน โดยมากที่เค้าถ่ายรูปมาให้ดู จะเป็นรูปที่อบอุ่นที่สุดในบ้าน เป็นมุมนั้น ที่ทำให้เค้ารู้สึกทุกครั้งที่เค้ามอง เค้าจะบอกว่า ดูสิ ไม่ต้องห่วงนะ รูปของเธอได้อยู่ในมุมที่อบอุ่นที่สุดของบ้านเรา นี่คือสิ่งที่เค้าส่งผ่านมาให้เรา แล้วทำให้เรารู้สึกว่า เราเลือกถูกแล้วล่ะ กับวิถีที่เรากำลังดำเนินอยู่
TM: เป้าหมายต่อไปของพี่มดคือะอะไรคะ
พี่มด: เราต้องทำไงก็ได้ ให้งานของเราไปได้ไกล และกว้างที่สุด คือทำให้คนเห็นเราได้มาก เพื่อที่ 1 เราแชร์ 2 โอกาสต่างๆ ของเราก็จะเข้ามา นั่นหมายความว่า เราก็จะเพ้นท์ได้ชั่วชีวิตของเรา โอกาสที่เราก็จะมีรายรับเข้ามาบ้าง อะพูดตรงๆ เพราะจริงๆ แล้วทุกอย่างก็เป็นปัจจัย ที่จะทำให้เราอยู่ได้ และได้ทำงานที่เรารัก แล้วก็แชร์กลับไปด้วย มันก็เป็นสิ่งที่เป็นมาตรฐานเนาะ ..เราอยากเป็น World Famous Artist
TM: ในความเป็นศิลปิน อยากรู้จังว่าพี่มดชอบเที่ยวแนวไหนคะ
พี่มด: ชอบเป็นเชิงวัฒนธรรม เป็นคนชอบดูในรายละเอียดของงานศิลปะ จริงๆ แล้วมันมีหลายแบบมากเลย อย่างแรกอะ เป็นคนชอบเที่ยวเมืองเก่า เพราะว่าเราจะได้ไปเห็นไปสัมผัส เชื่อว่า ประสบการณ์ของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน การมองเห็นสิ่งต่างๆ ก็จะไม่เหมือนกันในการเก็บประสบการณ์ อย่างถ้าพี่เข้าไปในเมืองเก่า ก็คงไปมองหามุมเล็กๆ น้อยๆ ที่คนดั้งเดิมเค้าสร้างเอาไว้ แล้วพยายามที่จะคาดเดาว่า ในเวลานั้นในขณะนั้นเค้าคิดอะไรเค้าทำอะไรอยู่ อีกอันก็คือ ชอบไปเห็นวิถีชีวิตคนปัจจุบัน ชอบไปนั่งดู เป็นคนที่ชอบมากในการนั่งในคาเฟ่นึง หรือร้านๆ นึงที่เราสามารถชิลได้ แล้วเราก็เห็นการดำเนินชีวิต หรือการทำกิจกรรมของคนในแต่ละอาชีพที่แตกต่าง เพราะว่าคลิ๊กในการดำเนินชีวิตของแต่ละคนมันแตกต่างกัน แล้วแปลกว่า พอถ้าเราไปมองแบบนั้นแล้วอะ สิ่งที่เราซึมซับคือความรู้สึก ความรู้สึกนั้นเราเอากลับมา แล้วเอามาเพ้นท์ได้
TM: ที่พี่มดเล่ามา เรื่องวัฒนธรรม เมืองเก่า วิถีชีวิตผู้คน พี่มดนึกถึงประเทศอะไรคะ
พี่มด: ชอบยุโรป เพราะมีเรื่องราวความเป็นมา อยากไป Austria.. Italy อยากไปเห็นพวกประวัติศาสตร์ ศิลปะ.. ชอบไปเห็นผืนดิน ปูนเก่า ตึกเก่า ชอบไปเห็นอุปกรณ์เครื่องใช้ที่เค้าใช้กันว่าแบบความประณีต วิธีการคิดของเค้าเป็นยังไง ประมาณนั้นค่ะ
ตลาดทัวร์แมกกาซีน ขอขอบคุณพี่มดมากๆ ที่มาแชร์แนวคิด และประสบการณ์ในวิถีศิลปินให้เราได้เข้าใจในความรักในศิลปะ และเลือกที่จะสร้างสรรค์ผลงาน เพื่อสื่อสารกับคนที่ชมผลงาน เราหวังว่า เราจะได้ชม Exhibition ครั้งหน้าของพี่มดในเร็วๆ นี้ค่ะ ^_^